วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2558

มหัศจรรย์ถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก Son Doong Cave ในเวียดนาม


มหัศจรรย์ถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก Son Doong Cave





ถ้ำซันดอง (Son Doong cave) เป็นถ้ำหินปูนที่เกิดจากการกัดเซาะของกระแสน้ำใต้ดิน ถือเป็นถ้ำใหญ่ที่สุดในโลก อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ Nha-Ke Bang ประเทศเวียดนาม ติดกับชายแดนลาว ถ้ำนี้ถูกพบโดยชาวท้องถิ่นชื่อ Ho Khanh ในปี 1991 และได้รับการสำรวจจากกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ เมื่อปี 2009


บริเวณโถงซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในถ้ำซอนดุงแห่งนี้ โถงดังกล่าวมีขนาด สูงไม่น้อยกว่า 80 เมตร กว้างไม่น้อยกว่า 80 เมตร โดยมีระยะทางยาวไม่น้อยกว่า 4.5 กิโลเมตร ทั้งนี้ บางตอนของโถงมีขนาดสูง 140 เมตร กว้าง140 เมตร


นักสำรวจ ตะลึงกับขนาดของหินงอกที่พบภายในถ้ำ ซึ่งบางแห่งที่ขนาดสูงกว่า 70 เมตร



ปากทางเข้าถ้ำ ซึ่งคนท้องถิ่นรู้จักมานานสิบกว่าปีแล้ว แต่เนื่องจากเสียงหวีดหวิวที่ดังก้องอยู่ภายใน จึงทำให้ผู้คนหวาดกลัว ไม่กล้าเข้าไปภายใน ภายในถ้ำจะมีทั้งเสียงหวีดหวิวของลมที่ดังกึกก้อง พร้อมกับเสียงกระแสน้ำจากแม่น้ำที่ไหลผ่าน



 หินงอกวิจิตรพิสดาร จากฝีมือสร้างสรรค์ของธรรมชาติ และ แม่น้ำซึ่งไหลผ่านทางตอนล่าง



สภาพป่าภายในถ้ำ ความงดงามนี้ เกิดขึ้นเนื่องจากบางตอนของเพดานยุบตัวลง ทำให้ถ้ำบริเวณนั้นเปิดออก และแสงสามารถส่องลอดเข้าไปได้ ชีวิตใหม่จึงสามารถงอกงามเติบโตขึ้นได้








พบปติมากรรม มากมายในถ้ำแห่งนี้ ซึ่งเป็นความสวยงามที่สรรค์สร้างจากธรรมชาติโดยแท้จริง 
ซึ่งนักสำรวจจำเป็นต้องหาทางข้ามพ้นอุปสรรคนี้ไป เพื่อพบกับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่ซ่อนตัวอยู่ภายใน









สโตนเฮนจ์ ไขความลับสโตนเฮนจ์สร้างเพื่ออะไร??

สโตนเฮนจ์



สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) เป็นอนุสรณ์สถานยุคก่อนประวัติศาสตร์ กลางทุ่งราบกว้างใหญ่บนที่ราบซอลส์บรี (Salisbury Plain) ในบริเวณตอนใต้ของเกาะอังกฤษ ตัวอนุสรณ์สถานประกอบด้วยแท่งหินขนาดยักษ์ 112 ก้อน ตั้งเรียงกันเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง แท่งหินบางอันตั้งขึ้น บางอันวางนอนลง และบางอันก็ถูกวางซ้อนอยู่ข้างบน
นักโบราณคดีเชื่อว่ากลุ่มกองหินนี้ถูกสร้างขึ้นจากที่ไหนสักแห่งเมื่อประมาณ 3000–2000 ปีก่อนคริสตกาล กล่าวคือ การหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสีเมื่อ พ.ศ. 2551 เผยให้เห็นว่าหินก้อนแรกถูกวางตั้งเมื่อประมาณ 2400–2200 ปีก่อนคริสตกาล ในขณะที่ทฤษฎีอื่น ๆ ระบุว่ากลุ่มหินที่ถูกวางตั้งมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้นถึง 3000 ปีก่อนคริสตกาล
นักวิทยาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ต่างสงสัยว่า คนในสมัยก่อนสามารถยกแท่งหินที่มีน้ำหนักกว่า 30 ตัน ขึ้นไปวางเรียงกันได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ปราศจากเครื่องทุ่นแรงอย่างที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน และบริเวณที่ราบดังกล่าวไม่มีก้อนหินขนาดมหึมานี้ ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่าผู้สร้างต้องทำการชักลากแท่งหินยักษ์ทั้งหมดมาจากที่อื่น ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจาก "ทุ่งมาร์ลโบโร" ที่อยู่ไกลออกไปประมาณ 40 กิโลเมตร
สโตนเฮนจ์และบริเวณโดยรอบได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1986 และยังถูกจัดให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางอีกด้วย

มาดูภาพมุมสวย ๆ ของ สโตนเฮนจ์ กันค่ะ






สโตนเฮนจ์ ( Stonehenge ) หนึ่งในโบราณสถานลึกลับที่ยังคงหาคำตอบที่แน่ชัดไม่ได้ ว่าใครเป็นผู้สร้าง? สร้างเพื่ออะไร? สร้างได้อย่างไร? แต่ก่อนอื่น เราลองมาทำความรู้จักกับกลุ่มแท่งหินปริศนานี้กันดีกว่าน่ะค่ะ



สโตนเฮนจ์ ตั้งอยู่กลาง "ทุ่งราบซัลลิสเบอร์รี่" (Salisbury Plain) บริเวณตอนใต้ของเกาะอังกฤษ สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนเพราะบริเวณโดยรอบนั้นไม่มีสิ่งปลูกสร้างอื่นใดเลย มีจำนวนแท่งหินทั้งหมด 112 ก้อน ตั้งเรียงเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง และวางเรียงในลักษณะที่ต่างกัน ทั้งวางนอน วางพาดกัน และวางตั้งขึ้น นักวิทยาศาสตร์ได้คำนวณอายุของหินกลุ่มนี้ พบว่าน่าจะถูกสร้างขึ้นมาเมื่อประมาณ 3,000–2,000 ปีก่อนคริสตกาลนู่นเลย สรุปคืออายุกว่า 5,000 ปีแล้ว!

การก่อสร้างสโตนเฮนจ์ใช้เวลาสร้างต่อเนื่องกันมาถึง 3-4 ระยะในช่วงเวลาประมาณ 1,500 ปี คำนวนจากการที่หินแต่ละก้อน แต่ละชั้นมีอายุไม่เท่ากัน มาจากต่างยุคกัน ตั้งแต่ยุคหินตอนปลายจนถึงยุคสำริดตอนต้น สิ่งที่น่าสงสัยคือ บริเวณที่ราบดังกล่าวไม่มีก้อนหินขนาดมหึมานี้อยู่เลย ที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดคือมาจาก "ทุ่งมาร์ลโบโร" (Marlborough Downs) ที่อยู่ไกลออกไปประมาณ 40 กิโลเมตร และยังมีหินสีน้ำเงินหนักสี่ตัน ซึ่งพบได้บริเวณภูเขาพรีเซลีทางตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นเวลส์ (สันนิษฐานว่าใช้แพลำเลียงล่องมาตามชายฝั่งเวลส์และแม่น้ำเอวอน แล้วชักลากต่อมาทางบก)



เรื่องน่าพิศวงต่อมาคือ คนในยุคนั้นเขาเอาอะไรมายกแท่งหินที่มีน้ำหนักกว่า 30 ตัน แถมยังต้องลากมาจากสถานที่อื่นอันห่างไกล ดูแล้วสมัยนั้นไม่น่ามีเครื่องทุ่นแรงอย่างที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน? ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ต้องนำหินมาขัดแต่งให้มีความเหลี่ยม ความมน มีสลัก และเดือยซึ่งจะทำให้หินพาดกันได้อย่างพอดี มีความมั่นคง กล่าวกันว่าเป็นฝีมือของมนุษย์ต่างดาวที่มาเยือนโลก โดยใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยในการสร้าง บ้างก็ว่าเป็นผลงานศิลปะของยักษ์ในยุคก่อน

สุดท้ายก็ยังไม่มีใครทราบวัตถุประสงค์ในการสร้าง มีข้อสันนิษฐานมากมาย ยกตัวอย่างที่มีคนพูดถึงกันมาก เช่น


ผู้คนในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19 เชื่อว่าเป็นวิหารซึ่งพวกลัทธิดรูอิดใช้ประกอบพิธีบูชาพระอาทิตย์และบูชายัญมนุษย์ แค่แนวความคิดนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะสโตนเฮนจ์นั้นสร้างเสร็จอย่างน้อย 1,000 ปีก่อนลัทธิดังกล่าวจะเฟื่องฟู


สร้างเพื่อศึกษาด้านดาราศาสตร์ สังเกตปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า เช่น สุริยุปราคา จันทรุปราคา เป็นเครื่องคำนวณยุคก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งใช้เป็นปฏิทินดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ เพราะแนวของหินกลุ่มก้องต่าง ๆ ล้วนมีความสัมพันธ์กับแนวการเคลื่อนของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวพระเคราะห์ทั้งสิ้น 


ใช้เป็นสถานที่รักษา ผู้เชี่ยวชาญด้านเสียงและดนตรีจากมหาวิทยาลัยฮัดเดอร์ฟิลด์ค้นพบว่า แท่งหินมหึมาที่ตั้งตระหง่านเป็นวงกลมเหนือเนินดินสามารถสะท้อนเสียงได้อย่างวิเศษ นักวิจัยคาดว่าดนตรีที่เล่นกันบริเวณสโตนเฮนจ์คงเป็นเพลงที่มีจังหวะธรรมดาซ้ำๆ และให้สะท้อนก้องอยู่ในบริเวณนั้น ตรงกันกับเทคโนโลยีกลศาสตร์นาโน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีช่วยปรับปรุงงานวิจัยด้านการแพทย์ ด้านการผ่าตัด การผลิตอาหาร และเชื้อเพลิง


เป็นสถานที่ประกอบพิธีศพ และเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความตายของกลุ่มชนชั้นสูงในยุคก่อนประวัติศาสตร์ จากการขุดพบโครงกระดูกของมนุษย์โบราณฝังอยู่ในบริเวณดังกล่าว ตั้งแต่ประมาณเมื่อ 3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่สโตนเฮนจ์เริ่มถูกสร้างขึ้น และคาดว่าน่าจะถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีศพสำหรับชนชั้นสูงในสมัยยุคหินยาวนานต่อเนื่องกันไม่ต่ำกว่า 500 ปี อย่างไรก็ดี แม้ผลการพิสูจน์โครงกระดูกที่ถูกขุดมา     จากบริเวณสโตนเฮนจ์จะบ่งชี้ว่าสโตนเฮนจ์ถูกใช้เป็นสุสาน ก็ไม่ได้หมายความว่านั่นคือจุดประสงค์แรกมนุษย์ยุคก่อนสร้างสโตนเฮนจ์ขึ้นมา

ถึงทฤษฎีทั้งหลายในปัจจุบัน จะสามารถพิสูจน์ได้เป็นเหตุเป็นผล มีหลักฐาน มีตัวเลขสถิติสนับสนุนว่าเป็นความจริง แต่ก็ยังไม่มีทฤษฎีไหนเลยที่จะไขปริศนาอันลึกลับดำมืดของ "สโตนเฮนจ์" ได้อย่างกระจ่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะเรื่องที่ว่า ใครเป็นผู้สร้าง? ยังเป็นสิ่งที่น่าค้นหา ติดตามกันต่อไปค่ะ





วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2558

ภูเขาสีรุ้ง ความงามแบบธรรมชาติแท้ ๆ


       โลกของเรามีอะไรต่าง ๆ มากมาย ในเราได้ออกไปค้นคว้าค้นหา มองดู และติดตาม ในโลกนี้มีสิ่งสวยงาม มหัศจรรย์ ต่าง ๆ มากมาย
ในวันนี้ขอนำเสนอ สถานที่สุดวิเศษ ลล้อมรอบด้วยขุนเขาและธรรมชาติ อย่างแท้จริง สถานที่ที่ว่านี้มีชื่อว่าภูเขาสีรุ้ง หรือภูเขาหลากสี จางเย่ ตันเซี๋ย จัดมรดกโลกของจีนอยู่ในมณฑล กานซู่ที่ยังคงเป็นธรรมชาติ สวยงามดังเนรมิต และยังคงเป็นธรรมชาติแบบดั้งเดิม อากาศบริสุทธ์ ไม่มีการบุกรุกของอารยธรรมมนุษย์ ตามข้อมูลธรณีวิทยาจีน ระบุว่า ประติมากรรมธรรมชาตินี้ ประกอบไปด้วยแนวเขาแต้มสีเป็นลายริ้ว ซึ่งเกิดจากหินทราย และแร่ธรรมชาติ ที่ค่อย ๆ ก่อตัวผ่านการปรับแต่งจากลม ฝน และกาลเวลากว่า 24 ล้านปี ก่อนการเกิดของเผ่าพันธุ์มนุษย์นานนัก
       
       ทั้งนี้ ปัจจุบัน ทิวเขาหลากสีตันเซี่ย นับเป็นลักษณะภูมิประเทศที่เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติซึ่งพบได้ในจีนเท่านั้น และปัจจุบัน เป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่มีคนจำนวนมาก นิยมไปเที่ยวชม ขณะที่จีนยังมีทิวเขาลักษณะเดียวกับ ตันเซี๋ย ในบริเวณนี้อีก 5 แห่ง และทั้งหมดล้วนได้รับการปกป้องอยู่ในบัญชีมรดกโลก เมื่อปี 2553 









    ธรรมชาติมีความสวยงามเสมอ ต้องใช้เวลานานเป็นล้าน ๆ ปี กว่าจะมาเป็นภูเขาสีรุ้งที่เห็นอย่างปัจจุบันนี้ หากแต่มนุษย์ไม่รุกราน ทำลาย ความสวยงามเหล่านี้จะคงอยู่กับมนุษย์ต่อไป